พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535
โทษทางวินัย (มาตรา100)
มาตรา 100 ได้วางหลักไว้ว่า ข้าราชการพลเรือนผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามหรือไม่ปฏิบัติตามข้อปฏิบัติทางวินัย ในหมวดนี้ ผู้นั้นกระทำผิดทางวินัยจักต้องได้รับโทษเว้นแต่มีเหตุอันควรงดเว้น โทษทางวินัยมี 5 สถานคือ
1.ภาคทัณฑ์
2.ตัดเงินเดือน
3.ลดขั้นเงินเดือน
4.ปลดออก
5.ไล่ออก
การดำเนินการทางวินัย (มาตรา 99,102,103,104)
เมื่อกรณีที่มีมูลควรกล่าวหาว่าข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยโดย มีพยานหลักฐานในเบื้องต้นอยู่แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัยทันที (มาตรา 99 วรรค 4)
เมื่อมีการกล่าวหาโดยปรากฏตัวผู้กล่าวหา หรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่าข้าราชการพลเรือนผู้ใดกระทำผิดวินัยโดยยังไม่มี พยานหลักฐาน ให้ผู้บังคับบัญชารีบดำเนินการสืบสวนหรือพิจารณาในเบื้องต้นว่ากรณีมีมูลที่ ควรกล่าวหาว่าผู้นั้นกระทำผิดวินัยหรือไม่ ถ้าเห็นว่าไม่มีมูลจึงยุติเรื่องได้ ถ้าเห็นว่ามีมูลให้ดำเนินการทางวินัยทันที (มาตรา 99 วรรค 5)
ถ้าเป็นกรณีกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ดำเนินการตามวิธีที่ผู้บังคับบัญชาเห็นสมควร (มาตรา 102 วรรค 2)
ถ้าเป็นกรณีกล่าวหาว่ากระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นทำการสอบสวน (มาตรา 102 วรรค 2)
ในกรณีที่ความผิดปรากฏชัดแจ้งจะดำเนินการทางวินัยโดยไม่สอบสวนก็ได้ (มาตรา 102 วรรคท้าย) เช่น
1.กระทำผิดอาญาได้รับโทษจำคุกหรือหนักกว่าโดยคำพิพากษาถึงที่สุด เว้นแต่ความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
2.ละทิ้งราชการติดต่อกันเกินสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุอันสมควร
3.กระทำผิดวินัยร้ายแรงและได้รับสารภาพเป็นหนังสือต่อผู้บังคับบัญชา หรือผู้ที่มีหน้าที่สอบสวนหรือคณะกรรมการสอบสวน
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยไม่ร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือนตามควรแก่กรณี (มาตรา 103)
ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ใดกระทำผิดวินัยร้ายแรง ให้ผู้บังคับบัญชาลงโทษปลดออก หรือไล่ออก ตามควรแก่กรณี (มาตรา 104)
การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ
การอุทธรณ์ หมายถึง วิธีการทางกฎหมายที่เปิดโอกาสให้ข้าราชการพลเรือนที่ถูกสั่งลงโทษทางวินัย ได้มีโอกาสโต้แย้งหรือร้องเรียน เพื่อให้ได้รับความยุติธรรมต่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย[1]
การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ ภาคทัณฑ์ ตัดเงินเดือน หรือลดขั้นเงินเดือน ให้อุทธรณ์ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง การอุทธรณ์และพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในก.พ. (มาตรา 125)
การอุทธรณ์คำสั่งลงโทษ ปลดออก ไล่ออก ให้อุทธรณ์ต่อก.พ. ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่ง การอุทธรณ์และพิจารณาให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในก.พ. (มาตรา 126)
ในการพิจารณาอุทธรณ์ให้ก.พ.มีอำนาจตามมาตรา 110 และ 112 และในกรณีที่ก.พ.ตั้งอ.ก.พ.วิสามัญพิจารณาเรื่อง ก็ให้อ.ก.พ.วิสามัญมีอำนาจตามมาตรา 110 และ 112 (มาตรา 127)
การร้องทุกข์
การร้องทุกข์ หมายถึง การที่ข้าราชการพลเรือนได้ทำการโต้แย้งหรือร้องเรียนเพื่อให้ได้รับความเป็น ธรรมในกรณีอื่นที่มิใช่ถูกสั่งลงโทษทางวินัย[2] ซึ่งมีอยู่ 3 กรณี
1.ข้าราชการพลเรือนสามัญที่ถูกสั่งให้ออกจากราชการตามพ.ร.บ.นี้มีสิทธิร้อง ทุกข์ได้(มาตรา 129 วรรค 1) ข้อสังเกต การสั่งให้ออกไม่ใช่การลงโทษ จึงไม่ใช่การอุทธรณ์แต่จะต้องใช้วิธีร้องทุกข์
การร้องทุกข์ให้ร้องทุกข์ต่อก.พ.ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ทราบคำสั่งและ ให้นำมาตรา 126 และ 127 มาใช้บังคับโดยอนุโลม (มาตรา 129 วรรค 2)
2.ข้าราชการพลเรือนผู้ใดเห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อำนาจต่อตนโดยไม่ถูกต้อง ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นก็สามารถร้องทุกข์ได้ (มาตรา 130)
3.ข้าราชการพลเรือนผู้ใดมีความคับข้องใจอันเกิดจากการปฏิบัติของผู้บังคับ บัญชาต่อตน ข้าราชการพลเรือนสามัญผู้นั้นก็สามารถร้องทุกข์ได้ (มาตรา 130)
การบรรจุและแต่งตั้ง
การบรรจุ หมาย ถึง การรับบุคคลเข้าเป็นข้าราชการโดยไม่รวมถึงการมอบหมายให้ทำหน้าที่ และหมายถึงการรับข้าราชการที่มิใช่ข้าราชการพลเรือนมาเป็นข้าราชการพลเรือน[3]
การแต่งตั้ง หมายถึง การมอบหมายให้ทำหน้าที่ในตำแหน่งใดตำแหน่งหนึ่งอาจเกิดขึ้นพร้อมกันเมื่อมีการบรรจุ หรือต่างวาระกันก็ได้[4]
การบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งใดอาจแยกได้เป็น 2 กรณี
1.กรณีบรรจุและแต่งตั้งจากผู้สอบแข่งขันได้ ซึ่งเป็นกรณีทั่วไป (มาตรา 46)
2.กรณีบรรจุและแต่งตั้งจากผู้ที่มิใช่ผู้สอบแข่งขัน ซึ่งเป็นกรณียกเว้น 2.1 การบรรจุผู้ที่ได้รับการคัดเลือก (มาตรา 50)
2.2 การบรรจุ ผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้เชี่ยวชาญ หรือผู้ชำนาญการ (มาตรา 51)
2.3 การบรรจุผู้โอนมาจากพนักงานเทศบาล หรือข้าราชการประเภทอื่น (มาตรา 61)
2.4 การบรรจุผู้กลับเข้ารับราชการทหาร (มาตรา 63)
2.5 การบรรจุผู้กลับจากไปปฏิบัติงานใดๆตามมติของคณะรัฐมนตรี (มาตรา 64)
2.6 การบรรจุข้าราชการพลเรือน ซึ่งออกจากราชการไปแล้วกลับเข้ามาอีก (มาตรา 65)
2.7 การบรรจุพนักงานเทศบาล หรือข้าราชการประเภทอื่น ผู้ออกจากงานหรือออกจากราชการไปแล้ว เข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือน (มาตรา 66)
การย้ายและการโอน
การย้ายและการโอนนั้นถือว่าเป็นการเคลื่อนไหวในแนวราบ
การย้าย หมายถึง การย้ายจากหน่วยหนึ่งไปยังอีกหน่วยหนึ่งในหน่วยงานเดียวกัน ผู้บังคับบัญชาเดียวกัน
การโอน หมายถึง การออกจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง แต่เป็นคนละหน่วยงาน ผู้บังคับบัญชาคนละคนกัน และโดยหลักผู้บังคับบัญชาของผู้รับโอนจะต้องให้ความยินยอมถึงจะสามารถโอนข้า ราชการได้
การโอนย้ายข้าราชการมีอยู่ 3 กรณีคือ
1.การย้ายข้าราชการภายในหน่วยงานเดียวกัน (มาตรา 57)
2.การโอนข้าราชการระหว่างกรมหรือกระทรวง (มาตรา 60-61)
3.การย้ายหรือการโอนข้าราชการระดับสูงเพื่อเรียนรู้งาน (มาตรา 53)
ข้าราชการพลเรือนกับข้าราชการฝ่ายพลเรือน
ข้าราชการพลเรือน หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับแต่งตั้งตามพระราชบัญญัตินี้ ให้รับราชการโดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนในกระทรวง ทบวง กรมฝ่ายพลเรือน[5]
ข้าราชการพลเรือนมี 3 ประเภทคือ
1.ข้าราชการพลเรือนสามัญ
2.ข้าราชการพลเรือนในพระองค์
3.ข้าราชการประจำประเทศพิเศษ
ข้าราชการฝ่ายพลเรือน หมายความว่า บุคคลซึ่งได้รับบรรจุแต่งตั้งตามกฎหมายให้รับราชการ โดยได้รับเงินเดือนจากงบประมาณหมวดเงินเดือนในกระทรวง ทบวง กรมฝ่ายพลเรือน
ดังนั้นจะเห็นได้ว่า "ข้าราชการฝ่ายพลเรือน" มีความหมายกว้างกว่า "ข้าราชการพลเรือน"
การปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา(รักษาการทางวินัย)
มาตรา 88 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งใน หน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ขัดขืนหรือหลีกเลี่ยง แต่ถ้าเห็นว่าการปฏิบัติตามคำสั่งนั้นจะทำให้เสียหายแก่ราชการ หรือจะไม่รักษาประโยชน์ของทางราชการ จะเสนอความเห็นเป็นหนังสือให้ผู้บังคับบัญชาทบทวนคำสั่งก็ได้ ถ้าผู้บังคับบัญชายืนยันให้ปฏิบัติตามคำสั่งเดิม ผู้ใต้บังคับบัญชาก็ต้องปฏิบัติตาม
การขัดคำสั่งหรือหลีกเลี่ยงไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
มาตรา 89 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องปฏิบัติราชการโดยมิให้เป็นการกระทำการเหนือผู้ บังคับบัญชาเหนือตน เว้นแต่ผู้บังคับบัญชาเหนือขึ้นไปเป็นผู้สั่งให้กระทำหรือได้รับอนุญาตเป็น พิเศษชั่วครั้งคราว
มาตรา 90 ข้าราชการพลเรือนสามัญต้องไม่รายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา การรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการอย่างร้ายแรงเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง
[1] ดร.ชาญชัย แสวงศักดิ์, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 16, (กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด, 2553), หน้า 268.
[2] ดร.ชาญชัย แสวงศักดิ์, คำอธิบายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 16, (กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์วิญญูชน จำกัด, 2553), หน้า 271.
[3] ประยูร กาญจนดุล, คำบรรยายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 4, (กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538), หน้า 241.
[4] ประยูร กาญจนดุล, คำบรรยายกฎหมายปกครอง, พิมพ์ครั้งที่ 4, (กรุงเทพฯ : บริษัท สำนักพิมพ์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538), หน้า 242.
[5] ดร.วรพจน์ วิศรุตพิชญ์, หลักการพื้นฐานของกฎหมายปกครอง, (กรุงเทพฯ : บริษัท ธรรมสาร จำกัด, 2538), หน้า 127.
บรรณานุกรม
ชาญชัย แสวงศักดิ์,ดร. คำอธิบายกฎหมายปกครอง. พิมพ์ครั้งที่16. กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2553.
วรพจน์ วิศรุตพิชญ์,ดร. หลักการพื้นฐานของกฎหมายปกครอง. กรุงเทพฯ : ธรรมสาร, 2538.
ประยูร กาญจนดุล. คำบรรยายกฎหมายปกครอง. พิมพ์ครั้งที่4. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538.
ประยูร กาญจนดุล. คำบรรยายกฎหมายปกครอง. พิมพ์ครั้งที่4. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538.
กมลชัย รัตนสกาววงศ์,รศ. กฎหมายปกครอง. พิมพ์ครั้งที่7. กรุงเทพฯ : วิญญูชน, 2553.
กฎหมายปกครอง. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก : http://www.lawsiam.com/?name=webboard&file=read&id=1070. (วันที่ค้นข้อมูล : 30 กรกฎาคม 2554).